วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554



คุณภาพชีวิตของมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ และการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาก็เป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  เพราะช่วยพัฒนาสมรรถภาพทางกายซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการมีสุขภาพดี  
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการศึกษาพื้นฐานเพื่อปวงชนในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพ  โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน  คือ  ด้านสุขภาพ  (สุขศึกษา)  และด้านสมรรถภาพ  (พลศึกษาและกีฬา)  ในปีพ.ศ.  2544  ซึ่งจัดเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตลอดชีวิตของมนุษย์ทุกคน (Education is life) พลศึกษาและการกีฬาจึงเป็นสาระที่เรียนรู้และพัฒนาได้ตลอดชีวิต  ตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น (Education for life)
เมื่อ พ.ศ. 2519 มีการประชุมรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงระหว่างประเทศด้านพลศึกษาและการกีฬาเป็นครั้งแรก  ณ  กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส  ในการประชุมได้เน้นให้ทุกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของพลศึกษาและการกีฬาว่าเป็นสิทธิที่มนุษยชนทุกคนพึงได้รับ ดังข้อเสนอแนะว่า
1. ให้บรรจุวิชาพลศึกษาไว้ในหลักสูตร โดยกำหนดไว้ในกฎหมายทางการศึกษาของประเทศ
2. การจัดโครงการพลศึกษาและกีฬา  ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะบุคคลกลุ่มพิเศษ  เช่น  เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา  คนพิการ  ลูกกรรมกร  ผู้สูงอายุ  ผู้ป่วย
3. ให้สตรีมีส่วนร่วมในกิจกรรมพลศึกษาและกีฬามากขึ้น
4. การส่งเสริมกีฬาสำหรับปวงชนควรเริ่มจากโรงเรียน  เพื่อเป็นการเผยแพร่ไปสู่การเล่นในชีวิตประจำวัน
ข้อเสนอแนะดังกล่าวได้รับการตอบสนองแล้วโดยมีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ  แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2540 และในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และข้อ 4.  ดูจะเป็นข้อที่น่าสนใจและสำคัญที่สุด  เพราะ พลเมืองทุกคนต้องเข้าสู่ระบบโรงเรียนตามการศึกษาภาคบังคับอยู่แล้ว  โรงเรียนจึงเป็นสถาบันเริ่มแรกแห่งการปลูกฝังสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้แก่พลเมืองของประเทศตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่า เพราะ ไม้อ่อนดัดง่าย  ไม้แก่ดัดยาก และถ้าทำได้จะเป็นการเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรและยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติที่การกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดทำเพื่อให้สอดประสานกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ความคงทนถาวรใน       ทัศนคติ  ความรู้ ตลอดจนการปฏิบัติเกี่ยวกับการออกกำลังกายเป็นเป้าหมายสุดปรารถนา เพราะนั่นย่อมหมายถึงพฤติกรรมของผู้มีสมรรถภาพทางกาย (สุขภาพ) ที่ดี
พ.ศ. 2521  UNESCO ได้ประกาศกฎบัตรหรือปฏิญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการพลศึกษาและกีฬาไว้ 10 ประการ
1. การพลศึกษาและกีฬา  เป็นสิทธิขั้นมูลฐานที่พึงมีหรือได้รับของมนุษย์ทุกคน
2. การพลศึกษาและกีฬา  เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตลอดชีวิต ที่มีความสำคัญในกระบวนการศึกษา
3. การจัดโครงการพลศึกษาและกีฬา ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับบุคคล และสังคมของประเทศนั้น ๆ
4. การสอน การฝึก และการบริหารงานพลศึกษาและกีฬา ควรกระทำโดยบุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ
5. การพลศึกษาและการกีฬาจะสัมฤทธิผลได้  ต้องมีอุปกรณ์อย่างเพียงพอ
6. การวิจัยและการประเมินผล  เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งในการพัฒนาการพลศึกษาและการกีฬา
7. การเผยแพร่และเก็บข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ย่อมช่วยส่งเสริมการพลศึกษาและการกีฬา
8. การพลศึกษาและการกีฬาจะก้าวหน้าไปได้ด้วยดี เมื่อมีการร่วมมือกับสื่อมวลชน
9. สถาบันต่าง ๆ ของรัฐ เป็นกำลังสำคัญในการทำให้การพลศึกษาและการกีฬาเจริญก้าวหน้า
10. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ถือว่าเป็นการส่งเสริมการพลศึกษาและการกีฬาเช่นกัน
UNESCO  ได้ให้ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพลศึกษาและกีฬาเพื่อปวงชนไว้ดังนี้
1. การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย  ในการจัดกิจกรรมกีฬาเพื่อปวงชน  ให้ครอบคลุมบุคคลเหล่านี้ด้วยคือ  เด็กหญิงและสตรี  ผู้สูงอายุ  คนพิการ  ผู้ไม่รู้หนังสือ  เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียนหรือออกจากโรงเรียนกลางคัน  ประชาชนในชนบท  ชนกลุ่มน้อย  กลุ่มศาสนา  ผู้ตกงาน  ผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการ
2. แนวการดำเนินงาน
- รัฐบาลต้องกำหนดเป็นนโยบายตามหลักสิทธิมนุษยชน  ให้ประชากรทุกคนมีโอกาสเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ
- ต้องให้การศึกษาและให้โอกาสแก่ประชากรเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา
- การจัดกีฬาต้องคำนึงถึง  เพศ  อาชีพ  สุขภาพ  และความต้องการของประชากรแต่ละกลุ่ม
- การจัดกิจกรรม  ต้องสนองตอบความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย  โดยเฉพาะเด็กต้องใช้หลักโภชนาการเข้ามาเสริมด้วย
- รัฐควรจัดสถานที่บริการกีฬาให้แก่ประชาชน
- มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารเพื่อเผยแพร่ความรู้
- แต่ละประเทศต้องมีองค์กรระดับชาติทำหน้าที่เป็นศูนย์ข่าวสารการกีฬาแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงาน
3. วิธีการจูงใจ
- ต้องพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาด้านพลศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
- ต้องมีการพัฒนาบุคลากรในสายงานการฝึกหัดครู  ให้มีความสามารถในการสอนพลศึกษาในโรงเรียนได้ดี
- ต้องจัดหลักสูตรให้มีวิชาพลศึกษาทั้งในประถมศึกษา  มัธยมศึกษา  และอุดมศึกษา
- ต้องเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ใช้สถานที่และอุปกรณ์กีฬาของโรงเรียนด้วย
- ต้องจัดสร้างอุปกรณ์และสนามกีฬาสาธารณะเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสมาใช้
- ต้องหาผู้นำซึ่งเป็นนักการเมือง  นักธุรกิจ  นักอุตสาหกรรม  ผู้นำในชุมชน  เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีชักจูงให้บุคคลอื่นเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา
- โรงงาน  บริษัท  และสถานประกอบการ  ควรเปิดโอกาส  จัดสถานที่และอุปกรณ์  ให้พนักงานมีโอกาสเล่นกีฬา
- รัฐควรจัดให้มีเทศกาลกีฬาประจำปี
- รัฐต้องหาวิธีจัดหาอุปกรณ์และสถานที่เล่นกีฬาในราคาถูกให้แก่เยาวชนและประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำ
สำหรับเด็กและเยาวชนในวัยเจริญเติบโต  การออกกำลังกายและการเล่นกีฬามีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตเท่า ๆ กับอาหาร  พันธุกรรม  และสิ่งแวดล้อม  เพราะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญ    เติบโตตัวที่เรียกว่า  growth hormone (GH) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายนำสารอาหารโปรตีนไปสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและโครงสร้างของกระดูก ตลอดจนช่วยกระตุ้นให้ร่างกายนำแคลเซี่ยมไปเกาะตามโครงสร้างของกระดูกเป็นผลให้กระดูกเจริญเติบโตทางยาวและแข็งแรงในวัยที่ยังมีการเจริญเติบโตนั้น มีปัจจัยกระตุ้นให้มีการหลังฮอร์โมนชนิดนี้มากขึ้น  และทำให้มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง growth hormone คือ
1. การออกกำลังกาย
2. ความหิว  ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อน้ำตาลในเลือดลดลง
3. กรดอะมิโน
4. การนอนหลับสนิท
5. ความตื่นเต้นที่ไม่รุนแรงหรือเฉียบพลัน
โดยทั่วไปเด็กไทยแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงของการเจริญเติบโตดีขึ้น  แต่ความสูงเพิ่มขึ้นน้อยมากในขณะที่ความกว้างของร่างกายเพิ่มขึ้น (เพิ่มน้ำหนัก)  จนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคอ้วน (obesity) ตามมา  โดยเฉพาะเด็กในชุมชนเมือง เพราะเด็กในชุมชนเมืองมักมีฐานะเศรษฐกิจดี  มีการตื่นตัวเรื่องการดื่มนมมากขึ้น  ได้รับไขมันมากขึ้น  ต่างจากเด็กในชนบทและเด็กในชุมชนเมื่องที่มีเศรษฐกิจไม่ดีนัก มีแคลเซี่ยมต่ำ  (แคลเซียมช่วยให้การหดตัวทำงานของกล้ามเนื้อเป็นไปด้วยดี)  ข้อมูลดังกล่าวนี้จึงเป็นเรื่องน่าคิด สำหรับนักพลศึกษาและสุขศึกษา  ในการใช้ข้อมูลหรือใช้ประโยชน์จากการออกกำลังกายและโภชนาการ  เพื่อการวางแผนแก้ไขให้สอดคล้องเหมาะสมได้ผลดีต่อไป  (วาสนา  คุณาอภิสิทธิ์. 2541: 13-16)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของภาวะโภชนาการกับการเจริญเติบโตของเยาวชน จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งโรงงานผลิตนมอัดเม็ดขึ้นในพระตำหนักจิตรลดาเพื่อเป็นอาหารเสริมให้แก่เด็กในท้องถิ่นต่าง ๆ เพราะนมมีแคลเซียมที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ที่มา:โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาหนังสือและโฮมเพจ ชุดพัฒนาสังคมตามแนวพระราชดำริ ศูนย์ศึกษาแนวพระราชดำริ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น