1. ชื่อเรื่อง การพัฒนาโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด (THE DEVELOPMENT OF MUAY THAI AEROBIC DANCE PROGRAM FOR ENERGY EXPENDITURE AND MAXIMUM OXYGEN UPTAKE)
ชื่อผู้วิจัย นางสุดา กาญจนะวณิชย์
ปีที่วิจัย 2550
2. ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด
2. เพื่อศึกษาผลการพัฒนาการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดภายในโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม
3. เพื่อเปรียบเทียบผลของการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดของโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม
3. ขอบเขตของการวิจัย
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีสุขภาพดี
3.2 ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
1. ตัวแปรอิสระ (Independent variables) มี 3 ตัว คือ โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย 3 โปรแกรม ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65%,66-75%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง ที่เป็นชุดประกอบด้วย 20 ท่าชุด โดยมีช่วงอบอุ่นร่างกาย 5 ท่าชุด (10 นาที) ช่วงแอโรบิก 10 ท่าชุด (30 นาที) ช่วงผ่อนคลายกล้ามเนื้อ 5 ท่าชุด (10 นาที) ที่ความหนักของงานระหว่าง 55-65%,66-75%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง เวลาที่ใช้ในการเต้นแอโรบิก มวยไทยโปรแกรมละ 50 นาที เท่ากันทั้ง 3 โปรแกรม
2. ตัวแปรตาม (Dependent variables) มี 2 ตัว คือ ปริมาณการใช้พลังงานขณะเต้นแอโรบิก มวยไทย และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65%,66-75% และ76-85%ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง
4. วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า
4.1 การกำหนดประชากรและเลือกกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีสุขภาพดี อาสาสมัครเข้าร่วมการทดลอง จำนวน 63 คน อายุระหว่าง 18-22 ปี และผู้วิจัยใช้เกณฑ์การแบ่งกลุ่มโดยเรียงลำดับค่าจากการทดสอบสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด แล้วสุ่มเข้ากลุ่มโดยการ จับสลาก (Randomized block design sampling) กลุ่มทดลองจะคล้ายคลึงกันมากที่สุด และกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 3 กลุ่ม ๆ ละ 21 คน รวมทั้งหมด 63 คน
4.2 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย
1. โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยจำนวน 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน คือ ระหว่าง 55-65%,66-75%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง ใช้ระยะเวลา ในการทดลอง 12 สัปดาห์ ค่าความตรงเชิงเนื้อหา หรือค่าดัชนีความสอดคล้องของโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม เท่ากับ 0.97 ค่าความเชื่อมั่นของโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
1.1 โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้งหมดประกอบด้วย 20 ท่าชุด ดังนี้
ช่วงอบอุ่นร่างกายมี 5 ท่าชุด
ท่าชุดที่ 1 ควงหมัด ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุม ควงหมัด
ท่าชุดที่ 2 ย่างสามขุม-ศอกกลับ ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน ย่างสามขุม ควงหมัด ศอกกลับ
ท่าชุดที่ 3 ควงหมัด-ชกตรง ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน ควงหมัด หมัดตรง
ท่าชุดที่ 4 เดินสี่ทิศ ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน (จรดมวย หรือป้องหน้า)
ท่าชุดที่ 5 หมัดแตะ ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน หมัดแตะหรือ หมัดยัน
ช่วงการเต้นแอโรบิกมวยไทยมี 10 ท่าชุด
ท่าชุดที่ 1 ศอกกลับ-หมัดยัน ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน ศอกลับ หมัดยัน
ท่าชุดที่ 2 เถรกวาดลาน ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน เตะต่ำ (เถรกวาดลาน) เตะสูง เข่าหน้า ถีบหน้า ปัดในล่าง
ท่าชุดที่ 3 จักรศรนารายณ์ ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน ศอกกลับ (จักรศรนารายณ์) หมัดชกตรง
ท่าชุดที่ 4 เข่าต่อศอก ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน ควงหมัด เข่าต่อศอก หมัดตรง
ท่าชุดที่ 5 โน้มคอตีเข่า ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน โน้มคอตีเข่า เข่าลอย เข่าเฉียง
ท่าชุดที่ 6 เตะสูง ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน เตะสูง
ท่าชุดที่ 7 กวางเหลียวหลัง ประกอบด้วยท่ามวยไทย ถีบหลัง (กวางเหลียวหลัง) เข่าหน้า
ท่าชุดที่ 8 หมัด-เข่า-ศอก ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน หมัดตรง เข่าเฉียง ศอกตัด ท่าชุดที่ 9 เข่า-เตะ-ชก ประกอบด้วยท่ามวยไทย เข่าเฉียง ถีบหน้า มัดชกตรง หมัดเหวี่ยง
ท่าชุดที่ 10 ศอกกลับ-หมัดยัน ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน หมัดยัน หมัดชกตรง ศอกกลับ
ช่วงผ่อนคลายกล้ามเนื้อมี 5 ท่าชุด
ท่าชุดที่ 1 ย่างสามขุมตีศอก ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน ย่างสามขุมหน้า-หลัง ศอกงัด ศอกถอง ศอกตัด ศอกกลับ
ท่าชุดที่ 2 ย่างสามขุมเทพพนม ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุม ย่างสามขุมเทพพนม เข่าหน้า เตะตรง ท่าหลบ หมัดชกเฉียง
ท่าชุดที่ 3 เข่าหน้า-หลบ-ชกตรง ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน เข่าหน้า หมัดชกตรง เข่าต่อศอก
ท่าชุดที่ 4 กินรีเล่นหางประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังบน กินรีเล่นหาง ควงหมัด
ท่าชุดที่ 5 เสือทำลายห้าง-ช้างทลายโลง ประกอบด้วยท่ามวยไทย ยืนสองขุมระวังล่าง ปัดนอกบน เสือทำลายห้าง ช้างทลายโลง
โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน 3 โปรแกรม มีท่าชุดของการเคลื่อนไหวเหมือนกันทั้งหมด แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกายจะแตกต่างกันโดยสามารถเพิ่มความหนักของงานได้ เช่น การเพิ่มความกว้างและความสูงของการเคลื่อนไหว ทั้ง 3 โปรแกรม มีดังต่อไปนี้
โปรแกรมที่ 1 (ความหนักของงานระหว่าง 55-65% HRR) กำหนดความหนักของการเต้น แอโรบิกมวยไทย ระหว่าง 55-65% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่ไม่มีแรงกระแทก (Non impact) คือขณะเคลื่อนไหวเท้าทั้งสองข้างติดอยู่กับพื้น เช่น การยืนบนพื้นด้วยเท้าทั้งสองข้างผสมผสานกับการใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกต่ำ (Low impact) กล่าวคือขณะเคลื่อนไหวเท้าใดเท้าหนึ่งจะต้องอยู่บนพื้นเสมอ
โปรแกรมที่ 2 (ความหนักของงานระหว่าง 66-75% HRR) กำหนดความหนักของการเต้น แอโรบิกมวยไทยอยู่ระหว่าง 66-75% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกผสม (Multi impact) คือการผสมผสานการเคลื่อนไหวชนิดมีแรงกระแทกสูงและแรงกระแทกต่ำ (High impact and low impact)
โปรแกรมที่ 3 (ความหนักของงานระหว่าง 76-85% HRR) กำหนดความหนักของการเต้น แอโรบิกมวยไทยอยู่ระหว่าง 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง โดยใช้การเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกสูง (High impact) เป็นส่วนมาก อาจจะมีการผสมผสานกับการเคลื่อนไหวชนิดที่มีแรงกระแทกต่ำและแรงกระแทกสูง (Multi impact) สลับกันไปด้วย
1.2 แบบประเมินความเหมาะสมตามองค์ประกอบของการเต้นแอโรบิกมวยไทย
1.3 ควบคุมความหนักของงานของแต่ละกลุ่มโดยตรวจสอบจากเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจของแต่ละคนจากเครื่องบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจที่ข้อมือทุก ๆ 5 นาที
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด
1. เครื่องบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจแบบไร้สายยี่ห้อโพล่ารุ่น “M53” จากประเทศฟินแลนด์
2. เครื่องลู่กล (Treadmill) สามารถปรับความชันได้สูงสุด 25% และปรับความเร็วสูงสุดได้ 11 ไมล์ต่อชั่วโมง ยี่ห้อ “Landice” (Randolph, NJ, USA)
3. เครื่องวัดสมรรถภาพของระบบไหลเวียนเลือด และระบบหายใจแบบเคลื่อนที่ (Portable cardiopulmonary exercise system) ยี่ห้อคอร์เท็ก (Cortex) รุ่น“Metamax3B:Breath by Breath” จากประเทศเยอรมนี ใช้วัดสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดการใช้พลังงาน
1. เครื่องบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจแบบไร้สายยี่ห้อโพล่ารุ่น “M53” จากประเทศฟินแลนด์ ใช้วัดพลังงานในขณะเต้นแอโรบิกมวยไทย คอมพิวเตอร์และโปรแกรมสำเร็จรูปของโพล่า
เครื่องมืออื่น ๆ
1. เครื่องชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง
2. เครื่องเล่นซีดี และแผ่นซีดีเพลง
3. สถานที่ที่ใช้ทดลองฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย มีการควบคุมอุณหภูมิของห้องระหว่าง 23-25 องศาเซลเซียส
4.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล การใช้พลังงานหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลัง การทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เหมือนกันทั้ง 3 กลุ่ม
1. น้ำหนักร่างกาย หน่วยที่วัดเป็น กิโลกรัม
2. ส่วนสูง หน่วยที่วัดเป็น เซนติเมตร
3. อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก หน่วยที่วัดเป็น ครั้ง/นาที
4. สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด เดินบนลู่กลโดยใช้ “Modified Bruce treadmill protocol” และวัดสมรรถภาพการไหลเวียนเลือดและการหายใจ (Portable Cardiopulmonary exercise system) มีหน่วยวัดเป็น มิลลิลิตร/กิโลกรัม/นาที
5. การใช้พลังงานของร่างกาย ขณะออกกำลังกายที่มีความหนักของงานต่างกัน 3 ระดับจากเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจโพล่ารุ่น “M53” และโปรแกรมสำเร็จรูปโพล่า มีหน่วยวัดเป็น กิโลแคลอรี่
4.4 การจัดกระทำและการวิเคราะห์ข้อมูล
นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่างมาทำการวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป เอส พี เอส เอส (SPSS/PC version 11.5:Statistical package for the social sciences for personal computer) รุ่น 11.5 โดยหาค่าต่าง ๆ ดังนี้
1. หาค่ามัชฌิมเลขคณิต (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ของ ปริมาณการใช้พลังงานหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดในการเต้นแอโรบิกมวยไทย ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ ทั้ง 3 กลุ่ม
2. ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มของการใช้พลังงาน หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ ทั้ง 3 กลุ่ม โดยการทดสอบค่า “เอฟ” (F-test)
3. วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ(One-way analysis of variance with repeated measures) ของค่าเฉลี่ยของการใช้พลังงาน หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดภายในกลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ ทั้ง 3 กลุ่ม หากพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยก็นำมาเปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีของแอลเอสดี (LSD)
4. ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
5. สรุปผลการศึกษาค้นคว้า
ผลการวิจัยพบว่า
1. โปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน (55-65%,66-76%และ76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง) สามารถพัฒนาให้เป็นการเต้นแอโรบิกที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ซึ่งโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมมีความตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 หมายความว่ามีค่าความตรงดีมาก และมีค่าความเชื่อมั่นจากการทดสอบโปรแกรมการเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีระยะห่างกัน 1 สัปดาห์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ มีการพัฒนาการใช้พลังงาน 50 นาที และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 7 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. กลุ่มฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทยทั้ง 3 โปรแกรม หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ เปรียบเทียบการใช้พลังงาน 50 นาที ระหว่างกลุ่มที่มีความหนักของงานระหว่าง 55-65% กับ 66-75% และ 55-65% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ส่วนความหนักของงานระหว่าง 66-75% กับ 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรองมีการใช้พลังงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดทุกกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การฝึกเต้นแอโรบิกมวยไทย ทั้ง 3 โปรแกรมที่มีความหนักของงานแตกต่างกัน หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการใช้พลังงานและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้ ควรเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของร่างกาย อย่างไรก็ตามการเต้นแอโรบิกมวยไทยที่มีความหนักของงานระหว่าง 66-75% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง สามารถเพิ่มการใช้พลังงานมากกว่าจากสัปดาห์ที่ 2 ถึงสิ้นสุดการทดลอง 12 สัปดาห์ และหากต้องการเพิ่มสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดให้มีประสิทธิผลสูงสุด ควรเลือกโปรแกรมที่มีความหนักของงานระหว่าง 76-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสำรอง